วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การเลือกซื้อส้มโอ



                                             การเลือกซื้อส้มโอ





                 ส้มโอเป็นผลไม้มงคลนิยมซื้อเป็นของฝากตามเทศกาลต่างๆ..รวมถึงการแวะซื้อ
เวลาที่เดินทางผ่านท้องถิ่นที่มีส้มโอเป็นสินค้าขึ้นชื่อเช่นอำเภอนครชัยศรี  อำเภออัมพวา....
หรือผ่านจังหวัดชัยนาท...ปราจีนบุรี  ...ฯลฯ......

                  การเลือกซื้อส้มโอถือเป็นเรื่องยาก   ถ้าคนขายไว้ใจได้  ก็ยกหน้าที่ให้คนขาย
เลือกให้แต่บางครั้งคนขายก็ไม่ค่อยจะสันทัด....."เหมือนกันหมดค่ะ..สวนเดียวกัน..
คนขายก็คนเดียวกัน".....บางทีคนขายใจดี....."เลือกตามสบายค่ะ".....
เราก็คิดในใจ..."เลือกยังไงหว่า".......




                ผู้เขียนเคยเดินทางไปธุระที่นครปฐม  ขากลับผ่านทางถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี
โอกาสอย่างนี้ต้องแวะซื้อส้มโอ..พอแยกซ้ายจากถนนเพชรเกษมเข้าถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี
มีแผงขายส้มโอมากมายมีตั้งแต่นครปฐมแล้วหล่ะแต่จอดรถยาก (ริมถนน) ผู้เขียนจึงเลือกเข้า
ร้านในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง  มีร้านขายส้มโออยู่ขวามือเมื่อหันหน้าเข้าปั๊ม..ดื่มน้ำมะพร้าวน้ำหอม
ให้ชื่นใจก่อน    บอกคนขายเอาแบบเนื้อกุ้ง ( วันหน้ามาเหลาเรื่องมะพร้าวน้ำหอมต่อ ) ......

                 คนขายสองคนสามี-ภรรยา  ใจดีมาก..ช่วงเวลานี้อร่อย..ช่วงนั้นไม่ค่อยดี..อันนี้ควร
ซื้ออันนั้นเอาไว้แกะขาย ( ไม่ค่อยสวย ).....เลยซื้อเป็นของฝากหลายลูก...ก่อนกลับนึกอยาก
เอาไปกินกันในรถ   คนขายแนะนำแบบที่แกะแพคไว้ในตู้เย็น..มองดูเยอะมากๆแสดงว่าขายดี..
ขาย 3 แพค/ร้อยบาท...ปรากฏว่าอร่อยมากมาย..ยังประทับใจไม่รู้ลืม.....


ส้มโอพันธุ์ขาวทองดี


ส้มโอจำแนกตามสายพันธุ์ได้ 2 กลุ่ม   

                    1.สายพันธุ์ทางการค้าหลัก  เป็นพันธู์ที่นิยมกันโดยทั่วไปเช่นพันธุ์ขาวพวง
ขาวแป้น   ขาวยทองดี   ขาวใหญ๋ ( อำเภออัมพวา )......

                    2.สายพันธุ์ทางการค้าเฉพาะท้องถิ่น   เช่นพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง ( นครชัยศรี )
พันธุ์แดงทับทิม ( ภาคใต้ )   พันธุ์ขาวแตงกวา ( ชัยนาท )    พันธุ์ท่าข่อย ( ชัยนาท )



                                                       ส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง



การเลือกซื้อส้มโอ...ส้มโอพันธุ์ต่างๆจะมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ประจำสายพันธุ์ 

                                เช่นขาวทองดีมีรสเปรี้ยวอมหวาน  ชานนิ่มแห้งไม่แฉะ เนื้อสีชมพู 
                                พันธุ์ขาวน้ำผึ้งเนื้อสีขาวเหมือนสีน้ำผึ้ง  ชานกรอบค่อนข้างแข็ง.
                                แห้งมากไม่แฉะ...รสหวานนุ่มนวล  ...ฯลฯ........



      .........การเลือก...ก็คือเลือกให้ถูกสายพันธธุ์ที่ต้องการ...ผลแก่ได้อายุ....


                  ..1..ดูเม็ดน้ำมัน ( น้ำมันหอมระเหย ) เป็นเม็ดกลมใส  ผิวเรียบ สีผิวออกเหลือง

                  ..2..ดูน้ำหนักมากๆ..ถ้าผลเท่ากันให้เลือกที่มีน้ำหนักมาก ( แสดงว่าผิวบาง )....

                  ..3..ดูรูปทรงที่ดีกลมกลึง  เต่งตึง  ถ้าบิดเบี้ยวเนื้ออาจลีบแข็งเป็นเม็ดข้าวสาร...



                                              




หมายเหตุ.....ส้มโอพันธุ์เดียวกันถ้าผลเล็กแต่ผิวบางเกลี้ยง สีเข้มจะมีรสจัดกว่า...

                     เพราะเป็นผลของส้มโอต้นแก่ ( เลี้ยงผลจำนวนน้อย..คุณภาพจะดีกว่า )...



         .....ฤดูส้มโอ (อร่อยตามฤดูกาล ) ...ช่วงต้นหนาวถึงช่วงสงกรานต์ครับ.....





                                                  
                                     ................$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$.............












วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ผัดเผ็ดปลาดุก ( สด )



ผัดเผ็ดปลาดุก ( สด )




              อารยธรรมข้าว  เริ่มพัฒนาขึ้นบริเวณพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำต่างๆเป็นเวลากว่าหนึ่งหมื่นปี
จากข้าวป่าหลายร้อยสายพันธุ์  สู่นาข้าวอันอุดมสมบูรณ์  ขยายความนิยมเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
การกินการอยู่ของคนไทยก็คือ "กินข้าวกินปลา "   ก็เพราะในน้ำมีปลาในนามีข้าว......มีรายการ
โฆษณาสินค้าชนิดหนึ่ง..มีนักกอล์ฟชื่อดังของไทยเป็นพรีเซนเตอร์  กล่าวว่า.."ผมชอบแกงป่า
ปลาดุก...ผมอยากให้คนต่างชาติรู้จักแกงป่าปลาดุก".....




                    ผู้เขียนนั้นชอบผัดเผ็ดปลาดุกมากกว่า   เพราะว่าเวลาที่ปรุงเสร็จไว้นานแล้ว
ผัดเผ็ดปลาดุกก็ยังคงรสชาติไว้ได้มากว่า...รวมทั้งเมื่อเอามาราดข้าวสวยแล้วมีน้ำขลุกขลิก
เข้มข้นกว่า..อย่างไรก็แล้วแต่ความชอบนะครับ..บังเอิญผู้เขียนได้ค้นพบผัดเผ็ดสูตรกลมกล่อม
หอมกรุ่น...เลยนำมาเป็นของฝาก..ขยายความกัน.....


                   อนึ่งต้องขอย้อนกลับไปพูดถึงภาพรวมของผัดเผ็ดปลาดุกกันสักหน่อยก่อน...
ผัดเผ็ดปลาดุกมีอยู่ด้วยกันหลายสูตร...เอาง่ายๆแบ่งเป็น 2 แบบก่อน คือแบบทอดและแบบผัดสด
แบบทอดก็มีทั้งทอดกรอบและไม่กรอบ ( วันหน้าจะมาเหลาต่อ )   ตอนนี้มาว่ากันเรื่องแบบผัดสด
ซึ่งหัวใจสำคัญก็คือเน้นเครื่องพริกแกงผสมกับสมุนไพรสด..เช่นเพิ่มพริกสดชนิดต่างๆผสมกับ
น้ำพริกแกงเผ็ด..กระชายซอย  ใบโหรพา/ใบกะเพรา/ ตามชอบ.......




                 เนื่องจากผัดเผ็ดปลาดุกเป็นของคาวก็ควรเว้นไม่ใส่น้ำตาลเพราะของคาวไม่ค่อย
ถูกกับน้ำตาลนัก...สูตรต่างๆก็จะมาต่างกันตรงเครื่องปรุงกลิ่นนี่แหละครับ...นั่นก็คือกระชายซอย..
( แต่เดิมใส่กระทือ )..และใบโหรพาหรือใบกะเพรา (ตามชอบ )....





                สูตรที่นำมาเสนอ  เพื่อไม่ให้ซ้ำซากจำเจก็คือ..ใส่ขมิ้นขาวซอยเพิ่ม 
( จำนวนเท่ากับกระชายซอย/ใส่พร้อมกันทั้งสองอย่างเลย )จะเผ็ดน้อยกว่าและหอมมันกว่า
ส่วนใบกะเพรา ถ้าเบื่อๆก็ลองใส่ใบยี่หร่าหั่นหยาบๆแทน  จะหอมกรุ่นละมุนละมัยกว่า....
ถ้าไม่เชื่อ..ลองทำดู...จะรู้ได้เองว่า...อร่อย.......



                                         ..............&&&&&&&&&&&&&&&&&..........



credit : ภาพ www. MeaJaa.com
            ภาพ www.Thaifoodmaster.com









วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Co-enzime Q10..จำเป็นต่อชีวิต.....

.

                                                โคเอนไซม์ Q10  จำเป็นต่อชีวิต



               นักวิทยศาสตร์ชาวญี่ปุ่นค้นพบ Co-enzime Q10 เมื่อปี คศ. 1957  ซึ่งเป็นโปรตีน
ชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเป็นตัวร่วม ( Cofactor )ในกระบวนการหายใจระดับเซลล์ เป๋นตัวเร่ง
ปฏิกริยาชีวเคมี ในการเผาผลาญพลังงานภายในเซลล์ของร่างกาย    ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์
ผู้วิจัยได้รับรางวัลโนเบล ( NOBEL ) เมื่อ ปี คศ. 1978.............

                      Co-enzime Q10 จัดเป็นสารจำพวกต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง   โดยที่
ร่างกายสร้างขึ้นจะมีปริมาณสูงสุดในช่วงอายุ 19-21 ปี และจะลดลงเรื่อยๆเมื่ออายุมากขื้น
เป็นตัวกระตุ้นการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ อาหารที่ช่วยนำไปสร้าง Co-enzime Q10 อยู่ใน
จำพวกน้ำมันปลา สัตว์ทะเล  ถั่วเหลือง  เป็นต้น......


                    ร่างการสร้าง Co-enzine Q 10 ด้วยสารอาหารประเภทกรดไขมันไม่อิ่มตัว
( กรดอะมิโน )และวิตามินหลายชนิด     ส่วนการทำงานของเอนไซม์ชนิดนี้เมื่อรวมตัวกับ
ไขมัน คาร์โบไฮเครต  เผาผลาญเป็นพลังงานได้แล้วจะไม่สลายตัวสามารถไปจับตัวกับ
ไขมันหรือคาร์โบไฮเครตโมเลกุลอื่นๆได้อีกต่อๆไป ( ไม่สูญสลาย ).......





                 หน้าที่ของ Co-enzime Q10 นอกจากป้องกันการเสื่อมของอวัยวะต่างๆของร่างกาย
โดยเฉพาะพบมากที่สุดที่หัวใจ  เป็นการช่วยลดไขมันในหลอดเลือดรวมทั้งมีผลดีต่อสมอง......


                     นอกจากนั้นยังมีการนำ Co-enzime Q10 มาใช้แพร่หลายในเวชสำอางเพื่อป้องกัน
การเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร  บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง หรือในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคที่เกิดจากการเสื่อมขชองอวัยวะและเสริมประสิทธิภาพกล้ามเนื้อของ
นักกีฬาในรูปของเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพอีกด้วย......


                                           ...................฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿.......................


วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการเคี่ยวกะทิ

                                           ...เทคนิคการเคี่ยวกะทิ  3 ระดับ...


               กะทิเป็นเครื่องประกอบอาหารคู่ครัวไทยมาเป็นเวลาช้านาน.....ขนาดที่ว่าเมื่อคราว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาส.....ทรงโปรดให้
จัดเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ทาสเพื่อสร้างครอบครัวใหม่....หนึ่งในเครื่องอุปโภคดังกล่าว
มีกระต่ายขูดมะพร้าวรวมอยู่ด้วย.............


                อาหารไทยมีกะทิเป็นส่วนประกอบหลากหลายรายการโดยเฉพาะอาหารภาคกลาง
ขนาดแกงเลียงสูตรดั้งเดิมยังใส่หางกะทิเลยครับ....ต่อมาทางโภชนาการเห็นว่ากะทิมีไขมัน
ชนิดอิ่มตัวเกรงว่าถ้ารับประทานมากจะเพิ่มคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด...แต่ปัจจุบัน
มีผลวิจัยว่าในบรรดาน้ำมันพืชด้วยกันน้ำมันมะพร้าวมีความปลอดภัยไม่แพ้น้ำมันมะกอก
และที่สำคัญ...อร่อยกว่าเยอะ..ยกตัวอย่างเช่นผัดหมี่กะทิ   ถ้าผัดด้วยน้ำมันปาล์มจะอร่อยสู้ผัด
ด้วยหัวกะทิไม่ได้เลย....................


                     สิ่งสำคัญที่สุดในการปรุงอาหารด้วยกะทิในแต่ละเมนู มีหัวใจอยู่ที่การเคี่ยวกะทิ
ซึ่่งมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อให้กะทิละลายตัวผสมผสานกับน้ำแกง ให้เหมาะกับเมนูอาหาร  มีความ
เข้มข้นที่ ต้องการอยู่ 3 ระดับคือ..........

ระดับที่ 1.เคี่ยวหัวกะทิแตกมัน  ลักษณะข้นเป็นโคลนเรียกว่าหัวกะทิขี้โล้..ใช้แกงน้ำขลุกขลิกเช่น
แกงฉู่ฉี่  ผัดเผ็ด   แกงมัสมั่น ( แกงที่อร่อยที่สุดในโลก ) ใช้หลนต่างๆเช่นปูหลน  จะได้เข้มข้นพอ
ใช้ผักจ้มติดได้  ใช้ผัดหมี่่  ใช้ราดผักต้มราดหน้าขนมต่าง.....เทคนิคการเคี่ยวคือใช้ไฟปานกลาง
เคี่ยวใจเย็นๆ  ต้องคนตลอดเวลาเพราะบางทีหัวกะทิเป็นฟองจะล้นหม้อ  ใช้เวลาค่อนข้างนาน
จนกะทิแตกมันเป็นดาวระยิบระยับขนาดเท่าปลายเข็มหมุดเป็นอันใช้ได้...ข้อควรระวังอย่าเคี่ยว
เพลินจนกะทิแตกมันลอยเป็นฝาจะไม่่อร่่อย   คนไข้ทานไม่ได้จะระคายคอ  ไอ.....

ระดับที่ 2. เคี่ยวหัวกะทิกับหางกะทิรวมกัน  ลักษณะคล้ายน้ำนม    นำไปทำอาหารที่ต้องเคี่ยวพอ
ประมาณเพื่อให้เนื้อสุกนิ่มไม่เหนียว  เช่นแกงไก่ แกงคั่วต่างๆ....เทคนิคเช่นเดียวกับข้อ 1
พอแตกมันนิดหน่อยระยิบระยับขนาดเท่าปลายเข็มหมุด  เคี่ยวไม่นานเป็นอันใช้ได้.....


ระดับที่ 3. แกงกะทิสด ( ไม่ได้เคี่ยวกะทิ )  อันนี้เป็นหัวใจที่จะกล่าวถึง ( 2 วิธีแรกเด็กๆ )
 เทคนิกแบบกะทิสดเป็นที่นิยมกันมากเพราะทำได้อย่างรวดเร็วสมัยนี้ไม่ค่อยมีเวลาเข้าครัว
ร้านอาหารก็ต้องรีบเสริฟขนาดแกงที่ต้องเคี่ยวก็ไม่เคี่ยวแล้ว   เทคนิคกะทิสดเช่นต้มข่าไก่
ต้มกะทิต่างๆ  เช่นต้มกะทิสายบัว  ต้มกะทิปลาเค็ม ( สลิด )ใบมะขาม เป็นต้น....จุดสำคัญคือ
กะทิมีลักษณะคล้ายนมสด  ถ้าทำไม่เป็นจะเห็นกะทิจับตัวลอยเป็นฝา น้ำแกงด้านล่างใสแจ๋ว 
ไม่อร่อย.....

          เทคนิคคือใช้หางกะทิปรุงอาหารให้สุกเสียก่อนแล้วจึงค่อยเร่งไฟแรงให้เดือดพลุ่ง
เติมหัวกะทิที่แยกไว้  ไม่ต้องปิดฝา  ปรุงรส   พอเดือดพล่าน  รีบยกลงทันที.....


                                .....................$$$$$$$$$$$$$$$$$..................






วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จะว่ายากก็ไม่ใช่ จะว่าง่ายก็ไม่เชิง


                                                             การเลือกซื้อฟักทอง


                   หลายท่านคงเคยผิดหวังหรือเคยลองผิดลองถูกในการเลือกซื้อฟักทองของอร่อย
กันมานักต่อนักแล้ว     จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้ทดลอง  แบบลองถูกลองผิดมาพอสมควร
พอมีข้อสรุปได้บ้าง   แบบที่จะพอบอกได้ว่า..."จะว่ายากก็ไม่ใช่..จะว่าง่ายก็ไม่เชิง".....




                เริ่มการลองผิดลองถูกโดยไปเลือกเอาขนาดใหญ่ๆ..สีเข้มๆเป็นสีไพล..เนื้อแข็งๆ..
ปรากฎว่าผลออกมาไม่ดี  เนื้อเละเนื้อร่วนไม่เหนียว....ไม่ไหวๆต้องศึกษา...อะไรจะดีมันก็ต้อง
เริ่มที่เชื้อพันธุ์เช่นปลาดุกอุย (นา ) ก็ต้องดีกว่าปลาดุกเลี้ยง (อาฟริกา ) จริงไหมครับพี่น้อง...

                 ส่วนสายพันธุ์ต่างๆก็หลากหลายจริงๆ....ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเลือกให้เหมาะกับการ
นำไปปรุงอาหารกินเองหรือทำอาหารขาย....สรุปตุ้บตั้บ..เอาแบบที่นิยมๆกันนะคุณพี่..เอางี้..
ทางราชการก็ช่วยกันคัดสรรเพื่อให้ถูกใจแฟนเพลง....เอาแบบพอดีๆก็แล้วกันนะครับ.....






                  สายพันธุ์ที่นิยมในไทยไม่ใช่ฟักทองญี่ปุ่นนะครับ..มีผิวขรุขระเรียกผิวคางคก...
ขนาดเมื่อแก่เต็มที่หนัก 1.8 กิโกรัม (ขนาดไม่หนีกันเลย )...เนื้อฟักทองพันธุ์นี้สีทอง.......





วิธีการเลือก......1 .ฟักทองแก่่..ขั้วบุ๋ม..ก้นบุ๋ม..ขั้วเล็ก (ยิ่งเล็กยิ่งดี )ผิวขรุขระ..เจาะดูเนื้อแข็ง..
                             ยางจะใสมาก..ถ้ายางขุ่นแสดงว่ายังอ่อน  ดมกลิ่นยางจะมีกลิ่นหอมมัน

                        2. เลือกให้ถูกสายพันธ์..ถูกขนาด..ถูกใจ..ถูกงาน......

                        3. เลือกฟักทองที่ตัดมาใหม่ๆ..ถ้าเก่าเกินแกง..เนื้อจะสุก..ฝ่อ..เละ..ร่วนซุย..
                            ไม่เหนียวไม่หนึก..เคี้ยวไม่หนับ.........


                                     .....................@@@@@@@@@@@@@.................




วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เส้นนทางหนีน้ำท่วม



                                              ย้อนรอยสุวรรณภูมิ ( สุพรรณภูมิ )





               หลังจากประเทศไทยประสบอุทกภัยเมื่อนปี พ.ศ. 2554 ผู้เขียนเกิดความกังวลเกี่ยวกับ

ปัญหาน้ำท่วมในฤดูน้ำหลากปีต่อไป       จึงต้องค้นคว้าหาทางหนีทีไล่ไว้เป็นการล่วงหน้า


               เริ่มต้นจากปัญหาสาเหตุที่ภูมิอากาศแปรปรวนไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์เอลนิญโญ

( แล้งหนัก ) หรือลานิญญ่า (ฝนหนัก )      สรุปรวมว่าแปรปรวนเพราะ " โลกร้อน "......





                 
  ถ้าระดับน้ำทะเลสูงขึ้นตั้งแต่ 1-3 เมตร  ระดับน้ำก็จะท่วมบริเวณกรุงเทพและ

ปริมณฑลดังภาพแผนที่สีแดงด้านบน    ถ้าน้ำท่วมเพิ่มขึ้นถึง 4-5 เมตร น้ำก็จะท่วมบริเวณ

ที่ราบลุ่มภาคกลาง เหลือไว้เพียงพื้นที่สีม่วงอ่อนและสีม่วง    ดังภาพแผนที่ด้านล่าง....




           

             น้ำทะเลจะมีปริมาณมากขื้นจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกและธารน้ำแข็งจาก

ภูเขาสูงทั่วโลก   จากการสำรวจพื้นที่สีม่วงตามแผนที่ด้านบน ซึ่งมีเป็นพื้นที่สูงกว่าระดับ

น้ำทะเลตั้่งแต่ 5-10 เมตร




               
     
 รวมทั้งการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์พบว่าเมื่อสมัยทวาราวดี 1300 ปี ขึ้นไปมีอารยธรรม

อยู่บริเวณพื้นที่สีม่วงดังกล่าว  ซึ่งประมาณว่าเป็นชายฝั่งทะเลเมื่อสมัยนั้น...






               
               ซึ่งอารยธรรมก่อนนั้นเคยรุ่งเรืองอยู่บริเวณอำเภออู่ทอง  มาก่อนและขยายตัว

เรื่อยมาถึงตำบลรั้วใหญ่และตำบลไร่รถ( สุพรรณภูมิ )ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี( ท่าจีน )

จังหวัดสุพรรณบุรี....





         
                       สรุปว่าถ้าจะต้องอพยพหนีน้ำท่วมในช่วง 10-20 ปีข้างหน้านี้ เป็นอันว่าควร

จะต้องหนีไปอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่สูงตั้งแต่สีม่วงขึ้นไป....ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นการถอยกลับไป

ตั้งหลักกันใหม่ใน   แผ่นดิน สุพรรณภูมิ หรือแผ่นดินสุวรรณภูมินั่นเอง........








                                          ..............&&&&&&&&&&&&&...............